วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ขายของออนไลน์อย่างไรให้รวย (2020)


ขายของออนไลน์อย่างไรให้รวย ขายแบบไหนให้ได้เงินล้าน และสินค้าเงินล้านหน้าตาอย่างไร วันนี้ผมจะมาสินค้าตัวหนึ่งของผมเอง ที่สร้างเงินล้านได้ ตอนนี้ไม่ได้ขายละครับ เลยเอามาแชร์ให้ดูว่าขั้นตอนการทำมันเป็นยังไง ขายของออนไลน์อย่างไรให้รวยยุคนี้ต้อง ขายใน Facebook ครับ ตลาดที่ผมจับอยู่จะเป็น ของเล่นสำหรับเด็ก ก่อนที่จะไปดูสินค้า อยากจะแชร์แนวคิดในการหาสินค้ามาขายกันก่อน ลูกค้า คือใคร - พ่อ แม่ เด็กอายุ 3-12 ปี - ญาติพี่น้อง ของพ่อ แม่ เด็ก - เพื่อน ของพ่อ แม่ เด็ก ปัญหาของเขาคืออะไร 1. ติดมือถือ - กำลังมองหาทางแก้ปัญหาไม่ให้ลูกติดจอมากเกินไป 2. กิจกรรมในครอบครัว - ครอบครัวอยากหากิจกรรมทำร่วมกัน 3. อยากให้ลูกฉลาด - พยายามหาของที่จะมาเสริมพัฒนาการในด้านต่างๆ ลูกค้าอยู่ที่ไหน ตรงนี้ผมใช้ Facebook Ads เป็นหลักครับ วิธีหากลุ่มเป้าหมาย ของผมคือ 1. ผู้ปกครอง เด็กอายุ ... 2. ชื่อโรงเรียนนานาชาติ ในประเทศไทย 3. ชื่อโรงเรียนชั้นนำ ในประเทศไทย *** ลูกค้าอาจจะเป็นชาวต่างชาติด้วย ผมเลยไม่ใส่ภาษาเป็น Thai/Eng ข้อความที่จะส่งให้ลูกค้า - ชี้ให้เห็นโทษของการติดมือถือ - เสนอทางแก้ปัญหาติดมือถือ - ประโยชน์ที่จะได้รับของการเล่นของเล่นนี้ - ของเล่นช่วยเสริมพัฒนาการ - ของเล่นช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่าง พ่อ แม่ ลูก ทั้งหมดนี้คือ ขายของออนไลน์อย่างไรให้รวย กลุ่มลูกค้ามีอยู่แล้ว และเราจะขายคนกลุ่มนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ด้วยการทำ Custom Audience เด็กเล่นของเล่นเดี๋ยวก็เบื่อ แล้วก็หาของเล่นใหม่ เด็กๆแปปๆก็โต แต่ก็จะมีเด็กรุ่นต่อไปมาอีก ตลาดเด็กนี่หากินได้เรื่อยๆ ที่เหลือคือ ไปหาสินค้ามาทดสอบไปเรื่อยๆ อาจจะแป๊ก อาจจะปังสลับกันไป แต่เราทดสอบได้เรื่อย เหมือนเราไปหาของมาเสนอคนกลุ่มนี้ที่มีปัญหา สินค้าหาจากไหน - Aliexpress - Shopee ช่วงแรก เรายังไม่ต้องสต้อคสินค้าเยอะ ผมใช้วิธีนำรูป นำวิดีโอ ปล่อยให้ลูกค้าดูก่อน ถ้ามีคนที่สนใจจำนวนหนึ่ง จนมั่นใจแล้ว เราค่อยไปต่อ - ถ้าสินค้าสามารถหาได้ใน Shopee เราก็ไปติดต่อ ขอราคาส่งกะเขา หรือ จะให้เขาส่งนอกรอบก็ได้ - ถ้าสินค้ายังไม่มีในไทย และยังไม่มีใครขาย เราก็บอกลูกค้าว่าของหมด รอ 10-15 วัน ที่เหลือก็วนลูปไปอย่างนี้นะครับ แต่วงจรจะสั้นมาก ขนาดผมไม่รวมผู้ดูแล Facebook ตอนยิงแอด ก็ยังมีคนมาเจอ เพราะโฆษณามันมีการแชร์ 2-3 พัน มันก็มีผู้ค้ารายใหม่เข้ามาตี เป็นวงจรที่เหนื่อยมาก ถ้าเราไม่ได้สร้างคุณค่าเพิ่มเข้าไปให้มัน ใครจะเข้ามา ก็เข้ามาได้ง่ายๆ

วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ขายดีจนเจ๊ง ยิ่งขายยิ่งจน เพราะไม่รู้สิ่งนี้ (คนขายของออนไลน์ ต้องรู้)


คนขายของออนไลน์ ที่ขายดี หรือ กำลังจะขายดี อยากให้ตั้งใจฟังคลิปนี้ให้ดีนะครับ เพราะนี่คือสิ่งที่คนขายดีนั้นจะต้องเจอ เคยได้ยินคำว่าขายดีจนเจ๊ง ยิ่งขายยิ่งจนมั๊ยครับ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เดี๋ยววันนี้ผมจะมาแชร์ให้ฟังนะครับ


ปัญหาที่มักพบสำหรับคนขายของออนไลน์ที่เพิ่งเริ่มต้นเลย ตอนขายไม่ดีก็ยังพอมีเวลามานั่งจดรายละเอียด โน่นนี่นั่น แต่พอจับสินค้าตัวทำเงินได้ ทีนี้เวลากินข้าวยังแทบไม่มี ต้องคอยตอบแชท ไหนจะเเพ็คของ ส่งของอีก ลืมเรื่องการทำบัญชี จัดการสต้อค และวางแผนเรื่อง กำไร-ขาดทุน รู้ตัวอีกที ขายดีจนเจ๊งกันมาเยอะละครับ สาเหตุก็เพราะว่า

1. ไม่รู้ต้นทุนที่แท้จริง
คนที่เริ่มขายของออนไลน์ใหม่ จะคิดแต่ต้นทุนสินค้า กับค่าส่ง และกำไร หรือ ค่าแอด แต่ๆๆๆ ลืมต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการ เช่น ค่าน้ำมันรถ ค่าทางด่วน ค่าแรงตัวเอง ค่าเสียเวลา เงินเล็กๆน้อยๆพวกนี้ รวมๆกันก็หลายตังค์เลยทีเดียวนะครับ

2. หมุนเงินไม่ทัน
ส่งวันละเป็นร้อยกล่อง แต่เงินในกระเป๋าหายไปไหน ใครขายของแบบ COD จะรู้ว่าเงินหายไปไหน เพราะเป็นขายแบบเก็บปลายทาง ซึ่งก็ต้องรอขนส่งโอนเงินมาให้

ยิ่งขายดีก็ยิ่งต้องสต้อคของเพิ่ม ไหนจะที่เก็บของอีกละ ก็ต้องขยาย บางคนที่นอนแทบไม่มี ตอบแชทไม่ทันต้องจ้างแอดมิน แพ็คของไม่ทัน จ้างคนมาแพ็คอีก อุปกรณ์การแพ็คซื้อน้อยๆก็ไม่คุ้มอีก ก็ต้องซื้อเยอะๆ ถ้าได้เครดิตนานๆก็โอเคหน่อย ถ้าเราหมุนเงินไม่ทัน จากขายดีๆ ก็อาจจะเจ๊งได้

3. ไม่ทำบัญชี
ตอนออเดอร์น้อยก็ยังพอทำ Excel sheet ดูได้ แต่พอ ออเดอร์เริ่มเยอะ ชักมั่ว ไหนจะของตีคืน ไหนจะของชำรุด ลูกค้าขอเปลี่ยน ถ้าไม่ทำบัญชีจบเลย เพราะตอนแรกที่ส่งไป ตีเป็นกำไร ตอนตีคืน ก็ขาดทุนทันที เพราะเราเสียค่าส่ง ค่ากล่อง เสียเวลา อีรุงตุงนังไปหมด

สาหัสกว่าคือ รายได้เกิน 1.8 ล้าน ต้องจด Vat ทำภาษีทุกเดือนอีก ไม่ทำบัญชี สรรพากรขอดู ที่มาที่ไป ไม่มีให้ หายนะ เลยทีเดียว กำไรที่สั่งสมมา หายแว้บ!

4. ไม่แยกเงินทำธุรกิจ กับ ใช้ส่วนตัวออกจากกัน

ทำงานเหนื่อยได้เงินมาเยอะก็ต้องจัดสักหน่อย คนไม่เคยรวย ซื้ออะไรก่อนดี ขอ Benz สักคันก่อนละกัน เมียอยากได้ Channel ลูกอยากไปเที่ยวต่างประเทศ อะไรไม่เคยมี ต้องมี หันมาดูเงินในบัญชี เอ๊ะมันหายไปไหน เพราะใช้เงินที่เป็นต้นทุน และ กำไร มั่วซั่วไปหมด เลยไม่รู้ว่าที่เราขายๆไป เงินมันไปอยู่ไหน คิดว่าเดี๋ยวก็หาได้ใหม่

5. โดนโกง ไม่รอบคอบ
พอทีมงานเริ่มเยอะ สิ่งที่ตามมาคือ การโกง นิดหน่อยๆ รวมๆกันก็เยอะอยู่ทีเดียว
หนักกว่านั้นคือ แพ็คซ้ำ, หรือ แพ็คสลับ, ใส่ราคา COD ผิด, คนซื้อ COD แต่ดันไม่แปะใบให้เก็บปลายทาง

อันนี้วิกฤติสุดๆ เพราะเราต้องเสียเวลา เสียค่าขนส่ง เละเทะไปเลย
ถ้าใครกำลังอยู่ในอาการนี้ หรือ กำลังเริ่มจะขายดี จะเข้าใจสิ่งที่ผมพูดทั้งหมดเลย ว่ามันวุนวายขนาดไหน เราไม่ได้ขายของก๊อกแก๊กๆแล้ว แต่เรากำลังทำธุรกิจ ต้องมีระบบเข้ามาช่วย!

สิ่งที่จะแนะนำคือ อยากให้เตรียมระบบหลังบ้านรอไว้เลย เพราะถ้าตัดสินใจขายของออนไลน์แล้ว มันต้องมีวันที่เป็นของเรา ถ้าวันนั้นมาถึงเราเตรียมพร้อมไว้แล้ว ทีนี้เราก็จะกลายเป็นเสือติดปีก ไม่มีใครมาฉุดเราได้อีกแล้ว

ผมขอแนะนำ ระบบการจัดการร้านค้าออนไลน์ที่ชื่อว่า Fillgoods

ซึ่งเป็น Software ที่จะมาช่วยเราบริหารจัดการร้าน และอุดรอยรั่วที่จะทำให้เราเจ๊ง สิ่งที่ผมกำลังจะบอกต่อไปนี้ ทั้งหมดฟรีครับ ของฟรีแล้วมันจะดีเหรอ หลายคนเริ่มสงสัย ลองฟังผมดูก่อนนะครับ

1. จัดการคลังสินค้า
เราจะรู้เลยว่า สินค้าเราใกล้หมดหรือยัง เพราะบางทีขายดีจนลืมสั่งของใหม่ ของหมด พอจะสั่งของมาล๊อตใหม่ปรากฎว่าหมดเทรนด์แล้ว ที่แย่กว่านั้นคือ ของที่เหลือบานอยู่ในสต้อค ดันไปสั่งเพิ่ม ทีนี้งานเข้าเลย Dead stock นั่นเอง

2. Facebook Live
คนที่ Live ใน Facebook ห้ามพลาดเลยนะครับ
2.1 Live ทีเดียวได้หลายๆเพจ
2.2 สร้างรหัสจองสินค้าได้ ปกติจะจองสินค้าต้องพิมพ์ชื่อสินค้ายาวๆ ใช่มั๊ยครับ ตอนนี้ไม่ต้องละครับ สร้างรหัสขึ้นมา เช่น CF1, CF2, CF3 ลูกค้าก็จะสั่งได้สะดวกมากขึ้น
2.3 เมื่อลูกค้าพิมพ์จองรหัสสินค้ามาปุ๊ป ระบบมันจะเด้งสรุปยอด Inbox ไปหาลูกค้าเลย (เลิกแคปหน้าจอไปได้เลย)
2.4 พอลูกค้าได้รับยอดใน Inbox ระบบจะมีให้กรอกข้อมูล พร้อมแนบสลิป เราก็แค่ให้แอดมินตรวจอีกรอบ จะได้แพ็คและส่ง คือ โคตรลดขั้นตอน และความมั่วไปได้เลยทันทีนะครับ

3. รับออเดอร์ของลูกค้าได้ในทุกช่องทาง เช่น Facebook, Instagram, Line ยิ่งขายหลายช่องทาง ความมั่วเกิดขึ้นแน่นอน Fillgoods ช่วย สร้างออเดอร์ จดจำรายชื่อลูกค้า ไม่ต้องพิมพ์ชื่อ-ที่อยู่ซ้ำเมื่อต้องสร้างออเดอร์ให้ลูกค้าคนเดิม ระบบย้ายสถานะออเดอร์ แยกออเดอร์ที่พร้อมส่งและออเดอร์รอชำระออกจากกัน

4. Payment — COD เก็บเงินปลายทาง โอนเงินค่า (COD) คืนร้านค้าภายใน 1 วันทำการ (ตรงนี้นับจากวันที่ลูกค้าได้รับของ) ตรงนี้ก็จะช่วยให้เราหมุนเงินได้เร็วขึ้น

5. Report & Analytic — รายงานภาพรวมการขาย คนที่เริ่มขายใหม่ๆ มักจะมองวันต่อวัน แต่อยากจะแนะนำว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจแบบนี้ หรือ ระบบ Facebook ที่แปรปรวน มันก็มีวันที่ขายดีมาก หรือ ขาดทุนบ้างในบางวัน อยากจะให้มองภาพรวมในระยะยาวแล้วยังทำกำไร เราก็จะไม่ต้องไปกังวล ตัว Report จึงสำคัญมาก

6. มีเลข Tracking ส่งให้ลูกค้าได้ทันที สำหรับลูกค้าที่ใจร้อนอยากได้เลข Track เร็ว

7. แพ็ค ส่ง สะดวกกว่าที่คิด ระบบ Fillgoods สามารถปริ้นท์รายละเอียดหน้ากล่องเพื่อเตรียมแพ็คสินค้า ช่วยให้จัดของจากคลังง่ายขึ้น ถูกต้อง แม่นยำ จากนั้นก็ส่งต่อไปยังบริษัทขนส่งสแกนแล้วเตรียมไปถึงมือลูกค้าได้เลย

8. เรียกบริษัทขนส่งมารับของได้ตลอดเวลา เพียงใช้ Fillgoods กดเรียกบริษัทขนส่งหลังการแพ็กสินค้าเสร็จสิ้น เป็นอะไรที่สะดวกสบายมาก ๆ เลย ไม่ต้องเหนื่อยในการขนย้ายแถมไม่ต้องเปลืองน้ำมันขับรถไปส่งที่ขนส่งด้วย SCG Express, Flash Express, Bee Express 1 ชิ้นก็เข้ามารับ ไม่ต้องไปส่งเองให้เสียเวลา และ เสียค่าเดินทางอีกต่อไป

9. Fillgoods มี Customer Support ช่วยตามสินค้า แก้ปัญหาให้เราได้
ระบบนี้เพื่อนๆคิดว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนเท่าไหร่ครับ ลองคิดในใจ ถ้าเป็นผมก็คิดว่าน่าจะสักประมาณ 2–3,000 บาทต่อเดือน แต่ที่ช๊อคมากคือ จริงๆแล้วฟรีครับ!!!

ฟังมาทั้งหมดนี้ อึ้งมั๊ยครับ เพราะ Fillgoods เครื่องมือตัวนี้ตอบโจทย์คนขายของออนไลน์สุดๆเลย
ทีนี้ธุรกิจของเราก็จะโตได้แบบ ก้าวกระโดดเลย เพราะหลังบ้านเราพร้อม จะได้เอาเวลาไปคิดต่อยอดพัฒนาธุรกิจของเรา ยกระดับธุรกิจแบบไม่ต้องควักกระเป๋า กันเลยทีเดียว

ฟรี! ระบบจัดการหลังบ้านสำหรับคนขายของออนไลน์
สมัครและทดลองใช้ คลิก https://bit.ly/3gIXiuJ

วันพุธที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

 

ใครที่สนใจทำคอร์สออนไลน์ แต่ไม่รู้จะทำเรื่องอะไรดี วิดีโอนี้สำหรับคุณ

4 ข้อควรรู้ก่อนขายคอร์ส

1. สอนเรื่องที่ตัวเองรู้ดี
- รู้จากการลงมือทำ
- แก้ปัญหาให้คนอื่นได้
- มีผลลัพธ์ จับต้องได้

2. สำรวจตลาด
Skillane
Pantip
Facebook Group


3. สร้างความแตกต่าง
คาแรคเตอร์ - มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
เน้นผลลัพธ์ - เรียนกับเราคุณจะได้
เช่น สอนภาษาอังกฤษ
สอนภาษาอังกฤษสำหรับสาย ฝ.
สอนภาษารัสเสีย สำหรับจีบสาวรัสเซีย

4. คนเรียนของเราเป็นใคร
คนที่ไม่รู้อะไรเลย
คนที่พอมีพื้นฐาน
คนที่มีประสบการณ์เชียวชาญ

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

Shopee V Lazada ใครคือเบอร์ 1 ใน Marketplace ประเทศไทย



Shopee / Lazada ใครคือเบอร์ #1 ที่มีผู้ใช้มากที่สุดในประเทศไทย ตัวเลขไม่เคยโกหกใครนะครับ วันนี้มาดูสถิติกัน ใครที่ขายของออนไลน์ แต่ยังไม่เคยเปิดร้านใน Marketplace ตอนท้ายวิดีโอผมมีโบนัสที่ทุกคนฟังแล้วต้องร้องกรี้ดเลยนะครับ โอกาสแบบนี้ไม่ได้มีมาบ่อยๆ


จากข้อมูลของเว็บไซท์ Similarweb.com และ Alexa.com บอกชัดเจนว่า ในประเทศไทย อันดับ #1 คือ Shopee ทิ้งแบบไม่เห็นฝุนกันเลย

ผมเองก็ขายของกับทั้ง Shopee และ Lazada นะครับ แต่ช่วงหลังๆ จะเอนเอียงมาทาง Shopee ละครับ

ทำไมผมถึงเชียร์ Shopee ออกหน้าออกตาแบบนี้

ในมุมมองคนซื้อ

  1. การใช้งาน App สะดวกกับคนซื้อมาก ถ้าซื้อยากคนก็หนีหายไปหมดละครับ
  2. Shopee เลือกขนส่งได้หลากหลาย ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องส่งกับเจ้าได้เจ้าหนึ่ง
  3. ซึ่งการที่เลือกขนส่งได้หลากหลาย ทำให้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สามารถเลือกขนส่งที่ไม่คิดค่าพื้นที่ห่างไกล ืผ/ป-แ 200 บาท
  4. ของถูกและดีหาได้ที่ Shopee ของถูกก็มีเยอะ แต่ถ้าถูกและดี ก็ดูร้านที่เป็น Mall ผมซื้อประจำ (พิเศษถ้าเราซื้อของที่ร้าน Mall เราได้ Coins มาใช้เป็นส่วนลดด้วย)
  5. ลดแลก แจกแถม มีโปรโมชั่นเยอะมาก

ในมุมของคนขาย
  1. เปิดร้านด้วยมือถือเครื่องเดียว จบเลย ไม่ต้องมา Lorikeet ให้ไมเกรนขึ้น
  2. ขนส่งเลือกเปิด และ ปิด ได้ตามใจชอบ ไม่ต้องรอ 7 วัน
  3. ถ้าไม่อยากขาย COD ก็ทำได้ ด้วยการเปิดขนส่ง ปณ ปกติ (ไม่ใช่ ปณ Drop off)
  4. มีปัญหาโทรคุยกับ Call center ที่เป็นคนจริงๆ ไม่ใช่บอท และไม่ต้องรอสายเป็นชั่วโมง แล้วตัดสายเราทิ้ง
  5. ไม่มีปัญหาเรื่องเงิน อยากกดถอนก็กดได้เลย เปลี่ยนบัญชีรับเงินได้ไม่ยุ่งยาก
  6. หมดปัญหาเรื่องคิดค่าขนส่งขาดๆ เกินๆ ไม่ต้องมาคอยนั่งเช็ครายงานกังวลว่าจะขาดทุนเพราะ โดนคิดค่าขนส่งย้อนหลัง ที่บางทีขนส่งก็คิดเงินเกิน เราก็ต้องคอยเปิดเรื่องขอคืนเงินอีก

จริงๆทั้งสองที่ก็มีทั้งข้อดี ข้อเสีย แต่ฟังจากที่ผมบอกข้างบน คิดว่าใครหลายๆคนก็คงพยักหน้าและก็เคยเจอกันมาหมดแล้ว

สำหรับคนที่ยังไม่เคยเริ่มขายใน Marketplace ถ้าจะเริ่มวันนี้ ผมแนะนำที่ Shopee เลยครับ สามารถดูขั้นตอนการสมัครได้ที่วิดีโอที่ผมได้เคยทำไว้นะครับ

พิเศษ ถ้าใครไม่อยากเสียเวลาไปนั่งดูวิดีโอนะครับ เพราะขั้นตอนมันเยอะเหลือเกิน


ผมมีข้อเสนอสุดพิเศษ คือ มีคนมาทำให้หมดเลย แค่กรอกรายละเอียดนิดหน่อย ปิ๊ง เราก็ได้ร้านพร้อมขายเลย ที่ดีกว่านั้นคือ ช่วยดันร้านให้ด้วย ช่วยดันจนกว่าจะมีออเดอร์แรก

แคมเปญนี้ ผมได้ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ Shopee ครับ เขาจะมาดูแลให้ ตัว/ตัว กันเลย เรียกได้ว่า สิทธิพิเศษแบบนี้ไม่ได้มีมากันบ่อยๆ ไม่อยากให้พลาดนะครับ

ที่ว่าดันร้านนี่ดันยังไง
  • เปิดร้าน ลงสินค้า ตกแต่งร้านให้ นี่มันผู้ช่วยดีๆนี่เอง
  • เขาจะดึงร้านเราเข้าแคมเปญครับ โดยที่จะมีส่วนลดให้ 30% ให้ลูกค้าที่มาซื้อของร้านเรา (Shopee ออกให้)
  • มีเครดิตเอาไปใช้ยิง Shopee My ads 500 บาท!
  • โทรให้คำปรึกษา แจ้งเตือนเวลามีออเดอร์

เริ่มสนใจกันแล้วใช่มั๊ยครับ แต่เขามีเงื่อนไขนะครับ อาจจะไม่ได้ทุกคน

  1. มีร้านอยู่แล้วใน Facebook/IG เพราะเขาจะได้ดึงสินค้ามาลงให้ได้
  2. ไม่เคยเปิดร้านใน Shopee หรือ เคยสมัครเป็นผู้ซื้อ แต่ยังไม่เคยขาย (ตรวจสอบจากเบอร์โทรศัพท์ที่เคยลงทะเบียน
  3. สินค้าถูกกฎหมาย ไม่ใช่ของมือสอง หรือ ร้านที่ขายสินค้าที่เป็นบริการ
  4. ใช้ขนส่งที่เป็นพาร์ทเนอกับ Shopee เช่น J&T, DHL, EMS Thaipost, Best express

ต้องรีบตัดสินใจนะครับ เพราะแคมเปญนี้มีอายุแค่ 2 อาทิตย์ เริ่มต้นวันนี้  14/7/2563 - สิ้นสุด 28/7/2563

ถ้าสนใจก็กดลิ้งด้านล่างนี้ได้เลยครับ https://seller-rewards.shopee.co.th/joinShopeeForm?ref=yt2

เข้าไปแล้วก็กรอกรายละเอียดให้ครบ แล้วก็รอออเดอร์เข้าได้เลยครับ ไม่มีอะไรจะง่ายกว่านี้อีกแล้ว

วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563



วันนี้ผมจะมาแชร์ความผิดพลาดในการเป็น Youtuber ก่อนจะได้แสนซับผมได้ทำอะไรผิดพลาดไปบ้าง 9 ข้อผิดพลาดที่อยากมาแชร์ให้กับคนที่จะทำยูทูปนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์ มีอะไรบ้าง

1. ไม่กล้าออกหน้ากล้อง
ช่วงแรกขี้อายมาก คือกังวลว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา กลัวโดนแซะ กลัวเราไม่ดีพอ กลัวไปหมด
วิธีแก้ปัญหาของผมช่วงแรก คือ การอัดหน้าจอด้วยโปรแกรม Camtasia โผล่มาแต่เสียง ก็โอเคดี แต่ข้อเสีย คนที่มาดูไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เสียโอกาสในการสร้างแบรนด์ตัวตน

2. คิดว่าตัวเองไม่พร้อม
ช่วงแรกจะทำต้องคิดว่า อุปกรณ์ต้องขั้นเทพก่อนแล้วถึงจะเริ่มได้ สุดท้ายก็ไม่ได้เริ่มซะที มาตัดสินใจทำก็คือ เริ่มจากเท่าที่มีก่อนละกัน ถ้ารอให้พร้อมคงไม่ได้เริ่มซะที ทำๆไปมีตังค์ค่อยมาซื้อของเพิ่ม

3. ไม่มีความสม่ำเสมอ
ตอนแรกที่ทำคือ ทำทิ้งๆขว้างๆมาก เดือนละคลิป 2 เดือนคลิป ไม่ได้สนใจเลย พอไม่สม่ำเสมอ คนดูก็เลยไม่รู้ว่าเราจะออกคลิปเมื่อไหร่ ไม่ได้ติดตาม ตอนหลัง พอมาเริ่มตั้งใจทำ ก็เปลี่ยนเป็นอาทิตย์ละ 3 คลิปทำคนเดียว ก็เริ่มจะรู้สึกหนักไป แต่มาคิดๆดู เอาแบบพอดีๆ เน้นที่คุณภาพในแต่ละคลิปดีกว่า เลยกลายมาเป็น อาทิตย์ละ 2 คลิป วันอังคาร กับ พฤหัส กำลังพอดีๆ ไม่อยากจะออกคลิปเยอะเกินไป แต่อยากทำสิ่ง ที่คิดว่าดีที่สุดออกมาในแต่ละคลิปจะดีกว่า

4. เปรียบเทียบกับคนอื่น
ช่วงแรกๆ ชอบเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับช่องใหญ่ๆ ช่องดังๆ แทนที่จะได้กำลังใจ กลายเป็นกดดันตัวเอง ตอนหลังๆก็ปรับความคิดซะใหม่ ทำในแบบที่เป็นตัวเราเอง เน้นประโยชน์ที่คนดูจะได้รับ เลิกเปรียบเทียบ

5. SEO อย่างเดียวไม่พอ
พื้นฐานหาเงินจาก Affiliate + SEO ก็เลยคิดว่าไม่น่ายาก เราแค่ปรับแต่ง SEO ก็น่าจะทำอันดับได้ ซึ่งก็จริงส่วนหนึ่ง คือ ในคำค้นหาที่คนค้นหาไม่มากพอทำได้ แต่ถ้าคำที่มีคนทำกันเยอะทำแค่นี้ไม่พอ เพราะเราต้องดูเรื่องของ

1. ปก CTR
2. Watch Time คนดูดูจนจบมั๊ย
3. การมีส่วนร่วม
4. การดันวิดีโอเพื่อให้คนเข้ามาดูมากที่สุดภายใน 24-47 ชม
6. ไม่เก็บคนดู

คนเข้ามาแล้วก็จากไป บางคนก็ชอบช่องเรานะแต่ยังไม่อินเพียงพอ
เก็บคนดูคือ การเสนอผลประโยชน์เพื่อที่เขาจะได้เข้ามาอยู่ใน List ของเรา เช่น

1. ขอให้คนดูกด ซับ กดกระดิ่งแจ้งเตือน
2. ขอให้คนดู เข้ามาอยู่ใน LineOA, FB Group, Email List
พอเรามีฐานคนดู ของเราอยู่ใน List ตรงนี้จะช่วยให้เราดันวิดีโอของเราให้พีคภายใน 24-48 ชม โดยที่เราไม่เสียเงินยิงแอดเลย

7. ไม่มีส่วนร่วมกับคนดู
คนที่อยู่หลังกล้องก็คือ คนๆหนึ่ง เหมือนเราไปนั่งคุย เราไม่ใช่ผู้ประกาศข่าวที่นั่งหลังตรง รายงานข่าว แต่มันคือการสื่อสารกัน 2 ทาง ช่วแรกผมก็จะเกร็งๆหน่อย ตอนหลังก็มีมุขตลกบ้าง คอมเม้นโต้ตอบ ทำโพล แชร์เรื่องราวส่วนตัว เขาจะได้อินกะเรา เปิดช่องทางให้ไปคุยกันใน Line openchat

8. พยายามจะทำวิดีโอให้ได้นานๆ
จะได้วาง mid roll ads ได้
ช่วงแรกๆโลภมาก อยากจะได้ค่าโฆษณาเยอะๆ ก็จัดวิดีโอ 10 นาทีตลอด บางอันไม่ถึง 10 นาทีก็พยายามลากยาวไปให้ได้ 10 นาที พอความโลภเข้าครอบงำ ความบรรลัยจึงเกิดขึ้น คนดูก็บ่นนะครับ มันคืออะไร สรุป วิดีโอจะสั้น จะยาวก็ช่างมัน ขอเนื้อหาโดนๆ และ คนดูได้ประโยชน์ก็พอ

9. ไม่เป็นตัวของตัวเอง
ช่วงแรกที่ทำเกร็งเกินไป พยายามจะทำให้เหมือนคนอื่น ก็เลยพูดจา สื่อสารที่ไม่ค่อยจะเป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่ ตอนหลังก็ปรับให้เป็นตัวของตัวเองมากขึ้น
การพยายามเปลี่ยนตัวเองให้คนอื่นชอบ เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะถ้าเราฝืนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวเอง ก็เหมือนเราหลอกคนดู ทำๆไปก็ไม่มีความสุข

ทั้งหมดก็คือ 9 ข้อ ที่เป็นปัญหาสำหรับผมในช่วงเริ่มต้นทำยูทูป เพื่อนๆมีใครทำข้อไหนอยู่ลองเอา วิธีแก้ไขของผมไปทดลองใช้กันดูนะครับ

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

5 วิธีเอาชนะความกลัว แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่



เคยมั๊ยครับ ต้องการจะทำอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่กล้าทำ ไม่กล้าตัดสินใจ
อยากจะเปลี่ยนชีวิต แต่มักจะคิดหาข้ออ้างที่จะไม่ทำ เพื่อให้ตัวเองสบายใจ
ผมก็เป็นครับ ทุกวันนี้ก็เป็นอยู่ แต่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน เดี๋ยวจะมาแนะนำวิธีที่ผมใช้ เอาชนะความกลัวกันครับ

สาเหตุ

1. ไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง

คนเราทุกคนมีส่วนดี ส่วนเสียในตัวเอง ลองมาหาทักษะที่เป็นจุดเด่นของเรา ถ้าไม่มีฝึกให้มันมีขึ้นมา แล้วจับจุดตรงนั้นไว้ เพราะคนเราถ้าเชี่ยวชาญ ชำนาญ อะไรสักอย่าง มันจะมีความเชื่อมั่นในตัวเอง เขาเรียกคนมีของ แต่พอเราเก่งแล้ว สิ่งที่ต้องมาคู่กันคือ ความอ่อนน้อมถ่อมตน

2. ขาดสติ : ใจชอบคิดแต่อดีต และ กังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง

คนขี้กลัว ขี้กังวล สังเกตตัวเองว่าวันๆ ความคิดส่งออกไปหาเรื่องราวในอดีต คิดถึงไปแต่เรื่องในอนาคต ถ้าเป็นเรื่องราวที่ดี ก็ดีไป แต่ส่วนใหญ่ จิตใจคนเรามักพาไปลงที่ต่ำ ดำดิ่งไปกับความคิดทางด้านลบ
คนเราถ้าฝึกฝนอะไรทำซ้ำๆ ไปนานๆมันก็จะกลายเป็นความชำนาญ การคิดกังวล คิดกลัว ก็เป็นเช่นเดียวกัน เราทำจนเป็นนิสัย กลายเป็นความชำนาญในด้านลบ

วิธีแก้คือ ฝึกสติครับ มีสติรู้ตัวตลอดเวลา เผลอใจเมื่อไหร่ก็รู้ แล้วเอาจิตกลับมาอยู่ที่ตัวเรา นั่งอยู่ เดินอยู่ ทำงานอยู่ก็ให้รู้ เป้าหมายคือ ให้รู้ตัวเสมอๆ ความเครียด ความวิตกกังวล จะค่อยๆคลายตัวไป ใครศรัทธาคำสอน ของหลวงพ่อองค์ไหน เปิดยูทูปแล้วทำตามเลย

3. โทษคนอื่น

ผมเพิ่งได้ดูหนังเรื่อง Homestay มาครับ เป็นหนังไทยที่ดีมาก จุดพีคคือ เชอปรางโดนจูบ อ้าวไม่เกี่ยว คือ จุดพีคของเรื่องคือ ยมทูตถามตัวเอกว่า ที่ตัวเองฆ่าตัวตายเพราะอะไร ตัวเอกของเรื่อง โทษคนอื่นหมดเลยครับ ซึ่ง ก็เป็นคำตอบที่ผิด

ตอนจบของเรื่อง ใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้กดหยุดไว้ก่อนนะครับ นี่คือการสปอย ตอนจบของเรื่อง คนที่เป็นต้นเหตุให้ตัวเอกของเรื่องฆ่าตัวตาย ก็คือตัวเองนั่นเอง

เป็นเรื่องปกติที่คนเรามักโทษคนอื่น มากกว่าโทษตัวเอง มันสบายใจดี โยนเรื่องไม่ดีให้คนอื่นก็จบ
วิธีแก้คือ ให้หาความผิดของตัวเอง แก้ที่ตัวเองก่อน

พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานังให้กล่าวโทษโจทย์ความผิดของตัวเองไว้เสมอๆ ว่าเรายังไม่ดีพอ ก่อนจะโทษสิ่งรอบๆตัว ให้มองกลับมาที่ตัวเองก่อนว่าเพราะอะไรถึงทำให้ตัวเองมาอยู่ในจุดนี้
เปลี่ยนคนอื่น เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ทำได้ยาก แต่เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนความคิดตัวเอง ง่ายกว่า ทำทันที

4. ชอบเปรียบเทียบ

ไม่ว่าจะอยู่ในสังคมไหน ตั้งแต่เด็กจนโต เรามักจะถูกเปรียบเทียบ และตัวเราเองก็เลยชอบไปเปรียบเทียบกับคนอื่นด้วย ขนาดในครอบครัวก็ยังเป็น เช่น ลูกบ้านโน้นดีกว่า ตอนจบใหม่ๆ ก็คนโน้นเงินเดือนเยอะกว่า พอมาขายของออนไลน์ คนนั้น ดีกว่า เก่งกว่า
ถ้าเห็นคนที่ดีกว่าเก่งกว่า แล้วเป็นแรงบันดาลใจมันก็โอเค แต่ถ้าเราเห็นคนอื่นแล้วดีกว่า แล้วทำให้เราท้อ อิจฉา พยายามหาข้ออ้างว่า เขาทำได้เพราะ... แบบนี้ผิด
ถ้าเราไม่หยุดเปรียบเทียบ เราก็จะไม่พบกับความสุข เพราะใจเราจะเร่าร้อน อยากได้ อยากมี อยากเป็น ไม่มีที่สิ้นสุด

วิธีแก้คือ

- พอใจในสิ่งที่ตัวเองมีอยู่ ชื่นชมในความสำเร็จของตัวเอง มีความสุขในเส้นทางของตัวเองเดินอยู่
- ยินดีกับความสุขของคนอื่น คนอื่นทำสิ่งดีๆ หรือ ประสบความสำเร็จ เราก็พลอยยินดีด้วย

การที่เราพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ ไม่ได้หมายความว่าให้เราขี้เกียจ มีหลายคนสับสนเรื่องของ ความพอเพียง ว่าจะต้องจน จะต้องสมถะ ความพอของแต่ละคนไม่เท่ากัน เอาไปเทียบกันไม่ได้

ประเด็นคือ ให้เลิกเปรียบเทียบ แล้วให้ตั้งใจ ทำงานของตัวเองให้สำเร็จตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ ซึ่งก็ต้องใช้หลักธรรมที่เรียกว่า อิทธิบาท 4 ประกอบ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา

5. ไม่มีเป้าหมายในชีวิต ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ

เรือถ้าไม่มีหางเสือ ก็ไม่รู้จะมุ่งหน้าไปทางไหน ลอยไปลอยมา รอคลื่นทะเลซัดคว่ำจมน้ำไป แต่ถ้าเรามีเป้าหมายในชีวิต เรารู้ว่าเรากำลังจะไปไหน และจะไปสู่เป้าหมายได้อย่างไร เราจะใช้พลังทั้งหมดของเราในการมุ่งหน้าไปสู่เป้าหมาย

ก่อนอายุ 30 ผมเป็นคนไม่มีศาสนา ไม่มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ พอได้มาศึกษาและปฏิบัติธรรมมะทำให้ผมมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เวลาเจอปัญหาและอุปสรรค ผมเองก็จะไม่กลัว เพราะมันเป็นเรื่องของ กฎแห่งกรรม
มันไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ หรือ ไสยศาสตร์อะไร

แต่เป็นเหตุ เป็นผล เพราะมีสิ่งนั้นจึงมีสิ่งนี้ ทำอดีตไว้ดี สิ่งดีๆส่งผลถึงปัจจุบัน ทำปัจจุบันไว้ดี อนาคตย่อมดี สิ่งที่แย่ๆที่เกิดในปัจจุบัน เหตุเกิดการกระทำในอดีต เราแก้ไม่ได้ ยอมรับและอยู่กับมัน ทำปัจจุบันให้ดีแล้วอนาคตก็จะดีตาม

สิ่งต่างๆในโลกอยู่ภายใต้กฎเดียวกัน คือ กฏของไตรลักษณ์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ควรยึดถือว่ามันเป็นตัวเป็นตน ถ้าไม่ยึด เราก็ไม่เกาะ เราก็จะเหมือนอยู่ในโลก แต่ใจเราอยู่เหนือโลก

นี่คือ สิ่งที่ผมใช้เปลี่ยนชีวิตของผมเอง จากคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง จากคนที่คิดว่าตัวเองไม่มีดี ไม่มีความสามารถอะไร แค่เปลี่ยนความคิด เปลี่ยนทิศทางเดิน ชีวิตก็เปลี่ยนไป เพื่อนๆคนไหนที่มีความกลัว ลองเอาไปทดลองใช้ดูนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

สร้างยอดขาย 1 แสนบาท ด้วยค่าโฆษณา 1,152 (พร้อมวิธีทำ) | ขายของออนไลน์

 

วิธีสร้างยอดขาย 1 แสนบาท ด้วยค่าโฆษณา 1,152 ผมทำยังไงบ้าง ใครที่สนใจจะขายของออนไลน์ ลองเอาเทคนิคนี้ไปลองใช้กันดูนะครับ

ตอนนี้ช่องยูทูปนี้ ครบแสนซับแล้วนะครับ ต้องขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม หวังว่าเนื้อหาในช่องนี้จะไปช่วยเพื่อนๆหาเงินออนไลน์กันได้นะครับ ถ้าอยากรู้ว่าผมใช้เทคนิคอะไรในการเพิ่มยอดซับให้ถึงแสน ใน 6 เดือน กดลิ้งด้านบนนะครับ เป็นฟรี อีบุ๊ค ผมสรุป 5 เทคนิค เพื่อนๆเอาไปทดลองใช้กันได้นะครับ

วันนี้ผมจะมาอธิบายเทคนิคที่ผมใช้สร้างยอดขาย 100,000 บาทใน 1 อาทิตย์ ด้วยค่าโฆษณา 1,152 บาท ลองเอาไปประยุกต์ใช้กันนะครับ

สินค้าตัวนี้เป็นคอร์สออนไลน์ตัวใหม่ของผม คือ คอร์สสอนยูทูป ครับ ใครที่ติดตามช่องผมมาก็จะเห็นว่าผมมาทำจริงจังช่วงต้นปีนี้เองนะครับ ก็สรุปเนื้อหาที่ได้ทำมาเป็นคอร์สออนไลน์ ถ้าเพื่อนมีความรู้ ทักษะอะไรที่สามารถแปลงเป็นคอร์สออนไลน์ ก็สามารถทำได้เช่นกันครับ

ไฮไลท์ของคลิปนี้คือ ทำไมผมใช้ต้นทุนในการโฆษณาน้อยจัง เงินพันกว่านี่คือ ค่ารายเดือนของ LineOA ครับ นอกนั้นขายในช่องทางอื่นๆหมดเลย มีช่องทางไหนบ้าง

1. ขายเพื่อนใน Facebook Profile
เพื่อนใน Facebook อันนี้คือ สร้างมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ จะไม่เกี่ยวกับเฟสส่วนตัวที่มีเพื่อนเก่า พ่อแม่ญาติพี่น้อง ถ้าใครดูวิดีโอ สร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ ก็ทำตามขั้นตอนนั้นเลย คือ เราไปสร้างคุณค่าให้กับคนอื่นก่อน โดยการแชร์ความรู้ ตอบคำถาม ก็จะมีคนที่สนใจในเรื่องเดียวกัน แอดมาเป็นเพื่อน

2. ขายคนในกลุ่ม Facebook
เปิดเพจเฟสบุ้ค เพื่อแชร์ความรู้ และ สร้างกลุ่ม Facebook ควบคู่กันไปด้วย Fanpage คนเข้าถึงน้อย ตอนนี้เฟสเน้นกลุ่ม เราต้องพยายามให้คนเข้ากลุ่มไปให้มากที่สุด และเราต้องมีปฎิสัมพันธ์กับคนในกลุ่มด้วย ไม่ปล่อยให้กลุ่มร้าง

3. ขายคนใน Youtube
วิดีโอที่เราแชร์ใน Facebook เราก็เอาไปเพิ่มใน Youtube ด้วย พร้อมแนบลิ้งท้ายวิดีโอให้คนเข้ามาอยู่ในกลุ่ม และ บอกว่า ถ้าอยากคุยกับเราก็ให้แอด LineOA มา

4. Live
Live ในกลุ่ม Facebook ที่เราสร้างไว้ โดยให้คุณค่า ให้ความรู้ และปิดท้ายด้วยการขายของ

5. LineOA
LineOA ที่เราแนบไว้ในลิ้ง Youtube หรือ ใน Facebook ก็บรอดคาสไปเลย

ทั้งหมดนี้คือ ยังไม่ได้ยิงแอดใน Facebook หรือ Google เลยครับ ใครสนใจก็ลองสร้าง List ตามที่ผมแนะนำ เก็บเอาไว้เลยนะครับ

สำหรับคนที่ชอบคิดหาข้ออ้าง เดี๋ยวผมจะมาพูดดักคอไว้ก่อน เป็นข้อๆ
1. ผมเก่ง - คือ ผมก็เพิ่งมาศึกษานี่แหละครับ ไปเรียนกับคนเก่งๆมาอีกที
2. ผมทำมานาน - ก็ใช่ครับ แต่ผมก็เริ่มจาก 0 เหมือนกัน ใช้เวลา 3 ปี
3. ไม่มีเวลา - ผมก็ไม่ค่อยมีครับ แต่ผมแบ่งเวลาได้ เลือกทำสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมเอง เอาไว้ต้นๆ
4. ไม่มีทุน - ผมก็ไม่มีทุนครับ ตอนแรก เงินเดือน 8,500 ยังไม่พอกินเลยต้องขอแม่ แต่เริ่มจากทีละเล็กทีละน้อย

ทั้งหมดนี้ก็คือ เทคนิคที่ผมใช้ในการขายคอร์สออนไลน์ของผมเอง ก็คิดว่าจะมีประโยชน์สำหรับคนที่ จะสร้างตัวตน อยากขายความรู้ พวกความรู้พวกนี้ เราลงทุนทำครั้งเดียว ก็สามารถขายซ้ำได้เรื่อยๆ ไม่ต้องไปหาสินค้ามาขายใหม่เรื่อยๆ

และยิ่งนานวันแบรนด์ตัวตนของเราก็จะยิ่งเพิ่มมูลค่ามากขึ้น ถ้าเราได้ส่งต่อคุณค่า หรือ สร้างผลลัพธ์ให้กับคนเรียนได้จริงๆ ย้ำว่าถ้าเราจะสร้างแบรนด์ตัวตน เราต้องทำด้วยความจริงใจครับ เพราะถ้าเราทำผิดศีลธรรม พอคนรู้เข้าแบรนด์พังในข้ามคืนเลยทีเดียว

ถามเพื่อนๆหน่อยว่า มีใครสนใจอยากทำคอร์สออนไลน์กันบ้างครับ เดี๋ยวผมจะมาแนะนำ ประสบการณ์ที่เคยทำมาในคลิปต่อไป